แหล่งบทความ IT , Computer , สอนทำเว็บไซต์ , บทความ OS Windows 7 , Windows 8 , Windows XP
วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555
Windows Media Encoder ลดขนาดไฟล์วิดีโอ
Windows Media Encoder ลดขนาดไฟล์วิดีโอ
ผู้ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีกล้องดิจิตอลวิดีโอกันมากขึ้น เพราะนอกจากจะถ่ายโฮมวิดีโอไว้ดูกันแล้ว ส่วนใหญ่ยังสามารถถ่ายรูปได้คมชัดไม่แพ้กล้องถ่ายรูปดิจิตอลอีกด้วย และด้วยวัฒนธรรมวิดีโอที่เฟื่องฟูนี่เอง ทำให้ผู้ใช้หลายคนพบว่า ฮาร์ดดิสก์ของเครื่องเต็มไปด้วยไฟล์วิดีโอที่มีขนาดใหญ่ จนแทบไม่เหลือที่ไว้ใช้ทำงานอย่างอื่นแล้ว ร้อยละ 90 เป็นโฮมวิดีโอ จะลบทิ้งก็เสียดาย ครั้นจะเก็บไว้ก็ไม่มีที่ทำงานแล้ว
ทางแก้ของปัญหาที่ดีที่สุดก็คือ แปลงฟอร์แมตไฟล์วิดีโอเหล่านี้ซะ หรือไม่ก็แบ็กอัพลงแผ่นดีวีดี แต่หลายคนแม้จะแบ็กอัพแล้วก็ยังรู้สึกอยากจะเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ด้วย นายเกาเหลามีคำตอบมาแนะนำกันครับ
หากเพื่อนๆ ต้องการเก็บไฟล์วิดีโอที่มีอยู่มากมายไว้บนฮาร์ดดิสก์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการประหยัดพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไปด้วย นายเกาเหลาแนะนำให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแจกฟรีที่ชื่อว่า Windows Media Encoder เพื่อแปลงฟอร์แมตให้วิดีโอมีขนาดไฟล์ที่เล็กลง ซึ่งหลังจากติดตั้งเข้าไปแล้ว ให้คลิ้ก New Session บนทูลบาร์ จากนั้นคลิ้ก Convert a file โปรแกรมจะมีตัววิเศษ (Wizard) ให้คลิ้กตามขั้นตอน โดยที่ดีฟอลต์โปรแกรมเราจะเห็นเฉพาะฟอร์แมตที่แน่นอนเท่านั้น แต่ถ้าหากต้องเห็นวิดีโอทุกฟอร์แมต ให้คลิ้กเลือก All files ในช่อง Files of type
การแปลงฟอร์แมตไฟล์วิดีโอถือว่าเป็นงานที่หนักมากสำหรับโพรเซสเซอร์ ดังนั้น คงต้องให้เวลาในการทำงานกับโปรแกรมมากสักหน่อย ซึ่งในขั้นตอนการกำหนดค่าการทำงานให้กับโปรแกรม พึงระลึกว่า ยิ่งต้องการให้คุณภาพของวิดีโอที่ได้สูงมากเท่าไร ขนาดของไฟล์หลังจาก encode ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น เพื่อนๆ อาจจะต้องเลือกคุณภาพที่ต่ำลงมาในระดับที่รับได้ เพื่อแลกกับพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ที่จะได้คืนกลับมานั่นเอง แต่ถ้าทำใจกับการแลกพื้นที่กลับมาด้วยคุณภาพไฟล์วิดีโอที่ลดลงไม่ได้ แนะนำให้ซื้อฮาร์ดดิสก์แบบภายนอกไว้ใช้เก็บไฟล์วิดีโอโดยเฉพาะเลยจะดีกว่า เนื่องจากปัจจุบันมันมีราคาถูกลงมา ในขณะที่มีความจุสูงสูงขึ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของคุณแล้วละครับ
สนใจดาวน์โหลด Windows Media Encoder ได้ที่ http://www.microsoft.com/windows/windowsmedia/forpros/encoder/default.mspx
วิธีกำจัดไวรัส Mytob ออกจากคอมพิวเตอร์
Tips นี้เป็นขั้นตอนการกำจัดไวรัส Mytob ออกจากคอมพิวเตอร์ ครอบคลุมไวรัส Mytob ทุกสายพันธ์
1. ปิด System Restore Windows ME และ XP มีระบบ Ststem Restore ที่จะเก็บสำเนาไฟล์ สำคัญๆ เอาไว้ในโฟลเดอร์ _Restore ซึ่งโปรแกรม Antivirus จะไม่สามารถตรวจสอบ และแก้ไขไฟล์ที่ติดไวรัสในโฟลเดอร์นี้ได้ หากไม่ปิด System Restore เสียก่อน
- วิธีปิด System Reostore สำหรับ Window ME
1. คลิกขวาที่ MyComputer เลือก Properties
2. เลือกแท็บ Perfomance
3. คลิกที่ปุ่ม File System
4. คลิกที่แท็บ Troubleshooting.
5. เลือก Disable System Restore.
6. คลิก Apply > Close > Close.
7. เครื่องจะถามให้ Restart ตอบ Yes.
8. กด F8 ค้างไว้ ขณะที่เครื่องกำลัง Restart
9. เลือก Safe mode กด Enter
10. เมื่อ Restart เสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและกำจัดไวรัส หลังจากการตรวจสอบไวรัส ก็สามารถเปิดระบบ System Resotre กลับมาใช้ได้
- วิธีปิด System Reostore สำหรับ Window XP
1. เข้าสู่ระบบด้วย Administrator.
2. คลิกขวาที่ MyComputer เลือก Properties
3. เลือกแท็บ System Restore.
4. เลือก Turn off System Restore.
5. คลิก Apply > Yes > OK.
2. Reboot เครื่อง
3. กด F8 ค้างไว้ ขณะที่เครื่องกำลัง Restart
4. เลือก Safe mode กด Enter
5. แก้ไข Registry และไฟล์ระบบที่ถูกไวรัสเปลี่ยนแปลงไป วิธีการแก้ไข Registry สำหรับการกู้เครื่องที่ติดหนอน Mytob ทุกสายพันธ์
6. Reboot เครื่องในโหมดที่สามารถเชื่อมต่อกับ internet ได้
7. อัพเดตโปรแกรม Antivirus และ Virus Signature เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
8. รันโปรแกรม Antivirus เพื่อ ตรวจสอบไวรัสทั้งระบบ
9. ดาวน์โหลดและติดตั้ง patch เพื่ออุดช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ Windows
1. ปิด System Restore Windows ME และ XP มีระบบ Ststem Restore ที่จะเก็บสำเนาไฟล์ สำคัญๆ เอาไว้ในโฟลเดอร์ _Restore ซึ่งโปรแกรม Antivirus จะไม่สามารถตรวจสอบ และแก้ไขไฟล์ที่ติดไวรัสในโฟลเดอร์นี้ได้ หากไม่ปิด System Restore เสียก่อน
- วิธีปิด System Reostore สำหรับ Window ME
1. คลิกขวาที่ MyComputer เลือก Properties
2. เลือกแท็บ Perfomance
3. คลิกที่ปุ่ม File System
4. คลิกที่แท็บ Troubleshooting.
5. เลือก Disable System Restore.
6. คลิก Apply > Close > Close.
7. เครื่องจะถามให้ Restart ตอบ Yes.
8. กด F8 ค้างไว้ ขณะที่เครื่องกำลัง Restart
9. เลือก Safe mode กด Enter
10. เมื่อ Restart เสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและกำจัดไวรัส หลังจากการตรวจสอบไวรัส ก็สามารถเปิดระบบ System Resotre กลับมาใช้ได้
- วิธีปิด System Reostore สำหรับ Window XP
1. เข้าสู่ระบบด้วย Administrator.
2. คลิกขวาที่ MyComputer เลือก Properties
3. เลือกแท็บ System Restore.
4. เลือก Turn off System Restore.
5. คลิก Apply > Yes > OK.
2. Reboot เครื่อง
3. กด F8 ค้างไว้ ขณะที่เครื่องกำลัง Restart
4. เลือก Safe mode กด Enter
5. แก้ไข Registry และไฟล์ระบบที่ถูกไวรัสเปลี่ยนแปลงไป วิธีการแก้ไข Registry สำหรับการกู้เครื่องที่ติดหนอน Mytob ทุกสายพันธ์
6. Reboot เครื่องในโหมดที่สามารถเชื่อมต่อกับ internet ได้
7. อัพเดตโปรแกรม Antivirus และ Virus Signature เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
8. รันโปรแกรม Antivirus เพื่อ ตรวจสอบไวรัสทั้งระบบ
9. ดาวน์โหลดและติดตั้ง patch เพื่ออุดช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ Windows
ใช้ Quad-Core เลยดีไหม ?
ใช้ Quad-Core เลยดีไหม ?
มีผู้ใช้คนหนึ่งอยากประกอบคอมพ์ขึ้นใช้เอง หลังจากที่ผ่านการอบรมมาแล้ว ซึ่งเขามั่นใจว่า สามารถเลือกชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบคอมพ์ที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง แต่ปัญหาของเขาคือ เขาตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรจะเลือกใช้โพรเซสเซอร์อะไรดี โดยเฉพาะ Quad-core ที่มีราคาค่อนข้างแพง มันคุ้มไหมที่จะเล่นตอนนี้
ปัจจุบันกระแสนิยมคลั่งไคล้ในโพรเซสเซอร์มัลติคอร์เป็นอะไรที่หยุดไม่ได้เสียแล้ว ซึ่งก่อนที่จะว่ากันต่อไป นายเกาเหลาขออธิบายสักเล็กน้อยให้ผู้อ่านมือใหม่ได้ติดตามเรื่องนี้ไปด้วยนะครับ ในทางทฤษฎีแล้ว แต่ละแกน (core) ของโพรเซส จะสามารถทำงานได้เท่ากับโพรเซสตัวหนึ่งเลย ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า โพรเซสเซอร์ Dual-core มีประสิทธิภาพการทำงานเป็นสองเท่าของ Single-core หรือโพรเซสแกนเดียวที่ใช้กันในอดีต ซึ่งก็แน่นอนว่า หากจะประเมินว่า Quad-core สามารถให้ประสิทธิภาพในการทำงานเป็น 4 เท่าของ Single-core ก็เห็นจะไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก...แต่เดี๋ยวก่อน...นายเกาเหลายังไม่ได้สรุปคำตอบนี้
ความจริงที่น่าเสียดายก็คือ ซอฟต์แวร์ที่มีให้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ยังวิ่งตามหลังฮาร์ดแวร์อยู่เลย พูดง่ายๆ ก็คือ โปรแกรมส่วนใหญ่ยังไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบที่มีอยู่ในโพรเซสเซอร์มัลติคอร์ หากเป็นนายเกาเหลา คงจะเลือกซื้อโพรเซสเซอร์ที่มีราคาถูกกว่าอย่าง Intel Core 2 Duo หรือ AMD Athlon Dual Core มาใช้ดีกว่า ส่วนงบประมาณที่เหลือเอาไปซื้อมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่น่าจะดีกว่านะครับ
มีผู้ใช้คนหนึ่งอยากประกอบคอมพ์ขึ้นใช้เอง หลังจากที่ผ่านการอบรมมาแล้ว ซึ่งเขามั่นใจว่า สามารถเลือกชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบคอมพ์ที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง แต่ปัญหาของเขาคือ เขาตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรจะเลือกใช้โพรเซสเซอร์อะไรดี โดยเฉพาะ Quad-core ที่มีราคาค่อนข้างแพง มันคุ้มไหมที่จะเล่นตอนนี้
ปัจจุบันกระแสนิยมคลั่งไคล้ในโพรเซสเซอร์มัลติคอร์เป็นอะไรที่หยุดไม่ได้เสียแล้ว ซึ่งก่อนที่จะว่ากันต่อไป นายเกาเหลาขออธิบายสักเล็กน้อยให้ผู้อ่านมือใหม่ได้ติดตามเรื่องนี้ไปด้วยนะครับ ในทางทฤษฎีแล้ว แต่ละแกน (core) ของโพรเซส จะสามารถทำงานได้เท่ากับโพรเซสตัวหนึ่งเลย ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า โพรเซสเซอร์ Dual-core มีประสิทธิภาพการทำงานเป็นสองเท่าของ Single-core หรือโพรเซสแกนเดียวที่ใช้กันในอดีต ซึ่งก็แน่นอนว่า หากจะประเมินว่า Quad-core สามารถให้ประสิทธิภาพในการทำงานเป็น 4 เท่าของ Single-core ก็เห็นจะไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก...แต่เดี๋ยวก่อน...นายเกาเหลายังไม่ได้สรุปคำตอบนี้
ความจริงที่น่าเสียดายก็คือ ซอฟต์แวร์ที่มีให้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ยังวิ่งตามหลังฮาร์ดแวร์อยู่เลย พูดง่ายๆ ก็คือ โปรแกรมส่วนใหญ่ยังไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบที่มีอยู่ในโพรเซสเซอร์มัลติคอร์ หากเป็นนายเกาเหลา คงจะเลือกซื้อโพรเซสเซอร์ที่มีราคาถูกกว่าอย่าง Intel Core 2 Duo หรือ AMD Athlon Dual Core มาใช้ดีกว่า ส่วนงบประมาณที่เหลือเอาไปซื้อมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่น่าจะดีกว่านะครับ
ปรับแต่ง Sidebar (Windows Vista)
ปรับแต่ง Sidebar (Vista)
เท่าที่นายเกาเหลาได้พูดคุยกับผู้ใช้วิสต้าหลายๆ คนพบว่า ทุกคนใช้งานเหมือน XP ประมาณว่า ไม่ค่อยได้ใช้คุณสมบัติบางอย่างที่เขาอุตส่าห์พัฒนาขึ้นมาให้ใช้ อย่างเช่น สไลด์บาร์ (Sidebar) ที่บางคนบ่นว่าไม่ชอบอีกต่างหากแน่ะ แต่ก็มีผู้ใช้ไม่น้อยที่สนใจ แต่ไม่รู้ว่ามันเปิด ปิด หรือปรับแต่งการใช้งานได้อย่างไร ? ซึ่งนายเกาเหลาว่า ถ้าผู้ใช้ได้สัมผัส และใช้งานสไลด์บาร์ อย่างจริงจังจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน เพราะมันทำให้ วิสต้า มีลูกเล่นการใช้งานที่ตอบสนองความพอใจของผู้ใช้มากมายทีเดียว
ปกติ Windows Sidebar สามารถเปิดการทำงานได้โดยคลิ้กปุ่ม Start, All Programs ตามด้วย Accessories ซึ่งภายในสไลด์บาร์ที่ปรากฏทางด้านขวาของเดสก์ทอป จะสามารถติดตั้งโปรแกรมยูทิลิตีขนาดเล็กที่เรียกว่า Gadget ได้มากมาย โดยเพื่อนๆ สามารถเพิ่ม Gadget เข้าไปในสไลด์บาร์ได้ด้วยการคลิ้กขวา บนพื้นที่ของสไลด์บาร์ แล้วเลือกคำสั่ง Add Gadgets นอกจากนี้ยังมี Gadgets ไว้คอยบริการผู้ใช้มากมายที่ Windows Live Gallery อีกด้วย โดยคลิ้กที่ Get More Gadgets Online ซึ่งขณะเขียนบทความอยู่นี้ นายเกาเหลาได้เข้าไปเยี่ยมชมไซต์ดังกล่าว ปรากฏว่า มันมี Gadgets ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานฟรีๆ ถึง 1,355 ตัวเข้าไปแล้ว โดยเพื่อนๆ สามารถใช้ Gadgets เหล่านี้ได้ด้วยการคลิ้กปุ่ม Download เพื่อติดตั้งเข้าไปในสไลด์บาร์ครับ สำหรับ Gadgets ที่นายเกาเหลาใช้อยู่ก็จะมี ข่าวเด็ดเจ็ดสี และ RSS Feed Reader ครับ อะแฮ่มลืมบอกวิธีปิด Sidebar ง่ายนิดเดียวครับ แค่กดคลิ้กขวา แล้วเลือกคำสั่ง Close Sidebar เพียงแค่นี้ เพื่อนๆ ก็จะได้พื้นที่เดสก์ทอปกลับคืนมาแว้ว...
เท่าที่นายเกาเหลาได้พูดคุยกับผู้ใช้วิสต้าหลายๆ คนพบว่า ทุกคนใช้งานเหมือน XP ประมาณว่า ไม่ค่อยได้ใช้คุณสมบัติบางอย่างที่เขาอุตส่าห์พัฒนาขึ้นมาให้ใช้ อย่างเช่น สไลด์บาร์ (Sidebar) ที่บางคนบ่นว่าไม่ชอบอีกต่างหากแน่ะ แต่ก็มีผู้ใช้ไม่น้อยที่สนใจ แต่ไม่รู้ว่ามันเปิด ปิด หรือปรับแต่งการใช้งานได้อย่างไร ? ซึ่งนายเกาเหลาว่า ถ้าผู้ใช้ได้สัมผัส และใช้งานสไลด์บาร์ อย่างจริงจังจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน เพราะมันทำให้ วิสต้า มีลูกเล่นการใช้งานที่ตอบสนองความพอใจของผู้ใช้มากมายทีเดียว
ปกติ Windows Sidebar สามารถเปิดการทำงานได้โดยคลิ้กปุ่ม Start, All Programs ตามด้วย Accessories ซึ่งภายในสไลด์บาร์ที่ปรากฏทางด้านขวาของเดสก์ทอป จะสามารถติดตั้งโปรแกรมยูทิลิตีขนาดเล็กที่เรียกว่า Gadget ได้มากมาย โดยเพื่อนๆ สามารถเพิ่ม Gadget เข้าไปในสไลด์บาร์ได้ด้วยการคลิ้กขวา บนพื้นที่ของสไลด์บาร์ แล้วเลือกคำสั่ง Add Gadgets นอกจากนี้ยังมี Gadgets ไว้คอยบริการผู้ใช้มากมายที่ Windows Live Gallery อีกด้วย โดยคลิ้กที่ Get More Gadgets Online ซึ่งขณะเขียนบทความอยู่นี้ นายเกาเหลาได้เข้าไปเยี่ยมชมไซต์ดังกล่าว ปรากฏว่า มันมี Gadgets ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานฟรีๆ ถึง 1,355 ตัวเข้าไปแล้ว โดยเพื่อนๆ สามารถใช้ Gadgets เหล่านี้ได้ด้วยการคลิ้กปุ่ม Download เพื่อติดตั้งเข้าไปในสไลด์บาร์ครับ สำหรับ Gadgets ที่นายเกาเหลาใช้อยู่ก็จะมี ข่าวเด็ดเจ็ดสี และ RSS Feed Reader ครับ อะแฮ่มลืมบอกวิธีปิด Sidebar ง่ายนิดเดียวครับ แค่กดคลิ้กขวา แล้วเลือกคำสั่ง Close Sidebar เพียงแค่นี้ เพื่อนๆ ก็จะได้พื้นที่เดสก์ทอปกลับคืนมาแว้ว...

สร้างข้อความแจ้งเตือนก่อนล็อกออน (Windows Vista)

สร้างข้อความแจ้งเตือนก่อนล็อกออน (Vista)
นี่ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ปัดฝุ่นมาจากทิปที่เคยแนะนำใน Windows XP นั่นก็คือ การปรับแต่งข้อความแจ้งเตือนก่อนที่ผู้ใช้จะล็อกออนเข้าสู่ระบบ ซึ่งปรากฏว่า ระบบปฏิบัติการ Vista ยอมให้ทำเช่นนี้ได้เหมือนกัน
โดยส่วนใหญ่แล้ว แผนกไอทีมักจะใช้เทคนิคนี้ในการแสดงข้อความเตือนเกี่ยวกับกฎระเบียบ ตลอดจนนโยบายในการใช้งานเครือข่ายให้ผู้ใช้ทราบ อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆ สามารถแก้ไขข้อความนี้ได้ตามต้องการ สำหรับขั้นตอนการปรับแต่งข้อความแจ้งเตือนก่อนล็อกออนมีดังนี้
1. ให้กดคลิ้กปุ่ม Start เลือก All Programs ตามด้วย Administrative Tools จากนั้นเลือก Local Security Policy
2. กดคลิ้กขยายรายการที่ซ่อนอยู่ใน Local Polocies เลือก Secutiry Options
3. ให้ดับเบิลคลิ้ก Interactive logon: Message text for users attempting to log on.
4. ในแท็บ Local Policy Settings พิมพ์ข้อความที่เพื่อนๆ ต้องการให้แสดงก่อนล็อกออน
5. กดคลิ้กปุ่ม OK แล้วรีสตาร์ต
Restart XP จาก Task Manager
รีสตาร์ต XP จาก Task Manager
เชื่อว่า ประสบการณ์ที่ Windows XP แช่แข็งตัวเอง ไม่ยอมรับคำสั่งใดๆ แม้แต่จะเปิดเมนู Start ขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้เลย คงจะเคยเกิดขึ้นกับเพื่อนๆ หลายคนส่วนใหญ่เลือกวิธีปลิดชีพด้วยการกดปุ่ม Power เพื่อปิดเครื่อง ถ้าไม่ยอมก็ดึงปลั๊กมันซะเลย อะไรจะโหดร้ายปานนั้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เพื่อนๆ จะใช้ไม้ตายจัดการกับปัญหาด้วยวิธีดังกล่าว นายเกาเหลาอยากให้ลองอีกสักวิธีหนึ่งจะได้ไหมครับ ที่สำคัญมันปลอดภัยกว่า วิธีข้างต้นนี้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ การสั่งรีสตาร์ตผ่าน Task Manager
การปิดเครื่องด้วยวิธี hard reset ที่เป็นไม้ตาย บ่อยครั้งที่พบว่า มันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบปฏิบัติการ และคอมพิวเตอร์มีอาการรวนในอนาคตอันใกล้
การใช้รีสตาร์ตระบบด้วยซอฟต์แวร์เป็นวิธีที่นุ่มนวลกว่า ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีด้วยกันในการที่เพื่อนๆ จะเปิด Task Manger ขึ้นมานั่นก็คือ
กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del แล้วคลิ้กบนปุ่ม Task Manager
กดปุ่ม Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
เมื่อ Task Manger ปรากฎขึ้นมาแล้ว นอกจากเพื่อนๆ จะสามารถค้นหาโพรเซสที่แฮงอยู่ในระบบ เพื่อปิดมันลงไป เพื่อว่า ระบบอาจจะฟื้นกลับมาอีกครั้งก็ได้ หรือจะคลิ้กเมนู Shut Down เลือกคำสั่ง Restart เพื่อให้คอมพิวเตอร์เริ่มต้นทำงานทุกอย่างใหม่ก็ได้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะวิธีไหน ก็ให้ความปลอดภัยกับระบบมากกว่าการปิดสวิตช์คอมพิวเตอร์อย่างแน่นอนครับ
เชื่อว่า ประสบการณ์ที่ Windows XP แช่แข็งตัวเอง ไม่ยอมรับคำสั่งใดๆ แม้แต่จะเปิดเมนู Start ขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้เลย คงจะเคยเกิดขึ้นกับเพื่อนๆ หลายคนส่วนใหญ่เลือกวิธีปลิดชีพด้วยการกดปุ่ม Power เพื่อปิดเครื่อง ถ้าไม่ยอมก็ดึงปลั๊กมันซะเลย อะไรจะโหดร้ายปานนั้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เพื่อนๆ จะใช้ไม้ตายจัดการกับปัญหาด้วยวิธีดังกล่าว นายเกาเหลาอยากให้ลองอีกสักวิธีหนึ่งจะได้ไหมครับ ที่สำคัญมันปลอดภัยกว่า วิธีข้างต้นนี้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ การสั่งรีสตาร์ตผ่าน Task Manager
การปิดเครื่องด้วยวิธี hard reset ที่เป็นไม้ตาย บ่อยครั้งที่พบว่า มันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบปฏิบัติการ และคอมพิวเตอร์มีอาการรวนในอนาคตอันใกล้
การใช้รีสตาร์ตระบบด้วยซอฟต์แวร์เป็นวิธีที่นุ่มนวลกว่า ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีด้วยกันในการที่เพื่อนๆ จะเปิด Task Manger ขึ้นมานั่นก็คือ
กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del แล้วคลิ้กบนปุ่ม Task Manager
กดปุ่ม Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
เมื่อ Task Manger ปรากฎขึ้นมาแล้ว นอกจากเพื่อนๆ จะสามารถค้นหาโพรเซสที่แฮงอยู่ในระบบ เพื่อปิดมันลงไป เพื่อว่า ระบบอาจจะฟื้นกลับมาอีกครั้งก็ได้ หรือจะคลิ้กเมนู Shut Down เลือกคำสั่ง Restart เพื่อให้คอมพิวเตอร์เริ่มต้นทำงานทุกอย่างใหม่ก็ได้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะวิธีไหน ก็ให้ความปลอดภัยกับระบบมากกว่าการปิดสวิตช์คอมพิวเตอร์อย่างแน่นอนครับ

วิธีย้ายเพื่อน MSN จากเก่าไป MSN ใหม่
วิธีย้ายลิสต์จาก MSN จากเก่าไป MSN ใหม่
สำหรับวิธีย้าย Contact List ของ MSN นั้นอันดับแรก คุณต้องบันทึก Contact List ที่ต้องการเสียก่อน วิธีการคือ ให้คุณเปิด MSN ขึ้นมา ที่แถบด้านบนของตัวโปรแกรม เลือกคำสั่ง Contacts > Save > Contact List... จะมีหน้าต่าง Save Messenger Contact List ปรากฎขึ้น ให้ระบุตำแหน่งของแฟ้มที่ต้องการบันทึกไฟล์ ตั้งชื่อที่ต้องการแล้ว กด OK เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้ไฟล์รายชื่อ Contact List (นามสกุล .ctt) บันทึกในรูปแบบไฟล์แล้ว
วิธีการนำไปใช้ ให้คุณ Sing-in โปรแกรม MSN ด้วยอีเมล์ใหม่ จากนั้นให้คลิกคำสั่ง Contacts ของโปรแกรม MSN สังเกตุที่บรรทัดล่างสุด จะพบกับคำสั่งย่อย Import Contacts from a Saved File... ให้คลิกคำสั่งนี้แล้วจะปรากฎหน้าต่างให้ค้นหาไฟล์ Contact List ขึ้นมา ให้คุณระบุตำแหน่งไปที่ไฟล์ที่คุณสร้างไว้ตอนต้น แล้วกด Open เพียงเท่านี้ รายชื่อทั้งหมดก็จะเข้ามาอยู่ใน Contact List ของอีเมล์แอดเดรสอันใหม่แล้วครับ
สำหรับวิธีย้าย Contact List ของ MSN นั้นอันดับแรก คุณต้องบันทึก Contact List ที่ต้องการเสียก่อน วิธีการคือ ให้คุณเปิด MSN ขึ้นมา ที่แถบด้านบนของตัวโปรแกรม เลือกคำสั่ง Contacts > Save > Contact List... จะมีหน้าต่าง Save Messenger Contact List ปรากฎขึ้น ให้ระบุตำแหน่งของแฟ้มที่ต้องการบันทึกไฟล์ ตั้งชื่อที่ต้องการแล้ว กด OK เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้ไฟล์รายชื่อ Contact List (นามสกุล .ctt) บันทึกในรูปแบบไฟล์แล้ว
วิธีการนำไปใช้ ให้คุณ Sing-in โปรแกรม MSN ด้วยอีเมล์ใหม่ จากนั้นให้คลิกคำสั่ง Contacts ของโปรแกรม MSN สังเกตุที่บรรทัดล่างสุด จะพบกับคำสั่งย่อย Import Contacts from a Saved File... ให้คลิกคำสั่งนี้แล้วจะปรากฎหน้าต่างให้ค้นหาไฟล์ Contact List ขึ้นมา ให้คุณระบุตำแหน่งไปที่ไฟล์ที่คุณสร้างไว้ตอนต้น แล้วกด Open เพียงเท่านี้ รายชื่อทั้งหมดก็จะเข้ามาอยู่ใน Contact List ของอีเมล์แอดเดรสอันใหม่แล้วครับ
ใส่รูปให้กับโฟลเดอร์ของคุณง่าย ๆ
ใส่รูปให้กับโฟลเดอร์ของคุณง่าย ๆ XP
การใส่รูปให้กับโฟลเดอร์ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับงาน แต่มันยังช่วยให้ผู้ใช้ จดจำโฟลเดอร์งานของตนเองได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับขั้นตอนการทำมีดังต่อไปนี้
1. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ที่ต้องการใส่รูป แล้วเลือกคำสั่ง Properties
2. คลิกแท็บ Customize แล้วคลิกปุ่ม Choose Picture
3. เลือกโฟลเดอร์ ที่เก็บรูปไฟล์ภาพ แล้วเลือกภาพที่ต้องการ จากนั้นคลิกปุ่ม Open
4. เพียงเท่านี้ก็จะพบว่าที่โฟลเดอร์ที่ต้องการใส่รูปเปลี่ยนไปตามรูปที่ได้เลือกไว้แล้ว
5. คลิก Ok เพื่อบันทึกค่า
การใส่รูปให้กับโฟลเดอร์ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับงาน แต่มันยังช่วยให้ผู้ใช้ จดจำโฟลเดอร์งานของตนเองได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับขั้นตอนการทำมีดังต่อไปนี้
1. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ที่ต้องการใส่รูป แล้วเลือกคำสั่ง Properties
2. คลิกแท็บ Customize แล้วคลิกปุ่ม Choose Picture
3. เลือกโฟลเดอร์ ที่เก็บรูปไฟล์ภาพ แล้วเลือกภาพที่ต้องการ จากนั้นคลิกปุ่ม Open
4. เพียงเท่านี้ก็จะพบว่าที่โฟลเดอร์ที่ต้องการใส่รูปเปลี่ยนไปตามรูปที่ได้เลือกไว้แล้ว
5. คลิก Ok เพื่อบันทึกค่า

View Source HTML ไม่ได้
View Source HTML ไม่ได้
ถาม: ตอนนี้ ผมกำลังศึกษาวิธีสร้างเว็บเพจด้วย HTML อยู่ครับ ซึ่งปกติผมจะดูซอร์สโค้ดจากในหน้าเว็บ ด้วยการคลิกขวาแล้วเลือกคำสั่ง View Source แต่ล่าสุด IE 6 ที่ใช้ไม่สามารถวิวซอร์สโค้ดได้แล้ว ผมต้องแก้ไขอย่างไรครับ?
ตอบ: ปัญหาของการที่ไม่สามารถใช้คำสั่ง “View Source” ใน Internet Explorer 6.0ซึ่งเกิดจากการที่คำสั่งดังกล่าว ไม่สามารถเปิดซอร์สโค้ดใน Notepad ได้ ส่วนใหญ่แล้วอาจจะเกิดจากการที่มีไฟล์ชั่วคราว (Temporary Internet Files) มากเกินไป หรือไม่ก็เกิดจากไฟล์ชั่วคราวเสีย จะว่าไปแล้ว 2 เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่านี้เลย แต่มันก็เป็นไปแล้ว ซึ่งในการแก้ปัญหาคุณแค่ลบไฟล์ชั่วคราวออกไปก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว สำหรับขั้นตอนการกำจัดไฟล์ชั่วคราวบนอินเทอร์เน็ตใน IE ให้คลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Internet Options คลิกแท็บ General คลิกปุ่ม Delete Files เมื่อไดอะล็อกบ๊อกซ์ Delete Files โผล่ขึ้นมา คลิกเช็คบ๊อกซ์หน้าข้อความ Delete All Offline Content แล้วคลิกปุ่ม OK ขั้นตอนนี้อาจจะใช้เวลาสักนิด เมื่อมันลบเสร็จแล้ว คลิกปุ่ม OK เพื่อปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ จากนั้นลองใช้คำสั่ง View Source ซึ่งมันควรจะใช้งานได้แล้ว แต่ถ้ายังใช้ไม่ได้อีก ให้ปิดโปรแกรม IE แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ เข้าไปยังเว็บเพจที่ต้องการดูซอร์สโค้ด แล้วทดลองวิวซอร์สดูอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้คุณน่าจะดูได้แล้ว
ถาม: ตอนนี้ ผมกำลังศึกษาวิธีสร้างเว็บเพจด้วย HTML อยู่ครับ ซึ่งปกติผมจะดูซอร์สโค้ดจากในหน้าเว็บ ด้วยการคลิกขวาแล้วเลือกคำสั่ง View Source แต่ล่าสุด IE 6 ที่ใช้ไม่สามารถวิวซอร์สโค้ดได้แล้ว ผมต้องแก้ไขอย่างไรครับ?
ตอบ: ปัญหาของการที่ไม่สามารถใช้คำสั่ง “View Source” ใน Internet Explorer 6.0ซึ่งเกิดจากการที่คำสั่งดังกล่าว ไม่สามารถเปิดซอร์สโค้ดใน Notepad ได้ ส่วนใหญ่แล้วอาจจะเกิดจากการที่มีไฟล์ชั่วคราว (Temporary Internet Files) มากเกินไป หรือไม่ก็เกิดจากไฟล์ชั่วคราวเสีย จะว่าไปแล้ว 2 เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่านี้เลย แต่มันก็เป็นไปแล้ว ซึ่งในการแก้ปัญหาคุณแค่ลบไฟล์ชั่วคราวออกไปก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว สำหรับขั้นตอนการกำจัดไฟล์ชั่วคราวบนอินเทอร์เน็ตใน IE ให้คลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Internet Options คลิกแท็บ General คลิกปุ่ม Delete Files เมื่อไดอะล็อกบ๊อกซ์ Delete Files โผล่ขึ้นมา คลิกเช็คบ๊อกซ์หน้าข้อความ Delete All Offline Content แล้วคลิกปุ่ม OK ขั้นตอนนี้อาจจะใช้เวลาสักนิด เมื่อมันลบเสร็จแล้ว คลิกปุ่ม OK เพื่อปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ จากนั้นลองใช้คำสั่ง View Source ซึ่งมันควรจะใช้งานได้แล้ว แต่ถ้ายังใช้ไม่ได้อีก ให้ปิดโปรแกรม IE แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ เข้าไปยังเว็บเพจที่ต้องการดูซอร์สโค้ด แล้วทดลองวิวซอร์สดูอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้คุณน่าจะดูได้แล้ว

บล็อกอีเมล์ขยะง่ายนิดเดียว (Windows Vista)
บล็อกอีเมล์ขยะง่ายนิดเดียว (Vista)
มีคุณผู้อ่านอีเมล์มาถามนายเกาเหลาว่า เขาเพิ่งซื้อโน้ตบุ๊กที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Vista หลังจากที่ใช้งานไปสักพัก เขาก็ได้รับสแปมเมล์จากประเทศจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่จากประเทศเยอรมัน ซึ่งผู้ใช้คนนี้ได้ยินมาว่า ผู้ใช้ Vista สามารถกันอีเมล์ขยะได้ แต่ไม่รู้วิธีทำก็เลยอยากให้นายเกาเหลาช่วยแนะนำด้วย
สำหรับเพื่อนๆ ที่ใช้ Windows Mail ซึ่งเป็นโปรแกรมอีเมล์ใน Vista จะสามารถกันอีเมล์ขยะ จากต่างประเทศได้โดยอัตโนมัติ โดยขั้นตอนการตั้งค่า เพื่อให้ Windows Mail บล็อกสแปม หรืออีเมล์ขยะ สามารถทำได้โดยคลิ้กเมนู Tools เลือกคำสั่ง Junk E-Mail Options แล้วคลิ้กเลือกแท็บ International จากนั้นคลิ้กปุ่ม Blocked Top-Level Domain List เพื่อบล็อกสแปมที่ใช้โดเมนของประเทศเหล่านี้ แล้วคลิ้กเลือกเช็กบ็อกซ์หน้า Top-Level Domain ของประเทศต่างๆ ที่ชอบส่งสแปมเมล์มาให้เพื่อนๆ ครับ
นอกจากนี้ เรายังสามารถบล็อกสแปมโดยพิจารณาจาก Encode ที่ใช้ได้อีกด้วย โดยคลิ้กปุ่ม Blocked Encodings List จะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามใจชอบครับ ซึ่งหลังจากเลือกบล็อกเสร็จแล้วก็คลิ้กปุ่ม OK เพียงแค่นี้ สแปมจากประเทศที่เพื่อนๆ คลิ้กเลือกไว้จะไม่สามารถหลุดพ้นผ่านเข้ามาใน Inbox ได้อย่างแน่นอน
มีคุณผู้อ่านอีเมล์มาถามนายเกาเหลาว่า เขาเพิ่งซื้อโน้ตบุ๊กที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Vista หลังจากที่ใช้งานไปสักพัก เขาก็ได้รับสแปมเมล์จากประเทศจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่จากประเทศเยอรมัน ซึ่งผู้ใช้คนนี้ได้ยินมาว่า ผู้ใช้ Vista สามารถกันอีเมล์ขยะได้ แต่ไม่รู้วิธีทำก็เลยอยากให้นายเกาเหลาช่วยแนะนำด้วย
สำหรับเพื่อนๆ ที่ใช้ Windows Mail ซึ่งเป็นโปรแกรมอีเมล์ใน Vista จะสามารถกันอีเมล์ขยะ จากต่างประเทศได้โดยอัตโนมัติ โดยขั้นตอนการตั้งค่า เพื่อให้ Windows Mail บล็อกสแปม หรืออีเมล์ขยะ สามารถทำได้โดยคลิ้กเมนู Tools เลือกคำสั่ง Junk E-Mail Options แล้วคลิ้กเลือกแท็บ International จากนั้นคลิ้กปุ่ม Blocked Top-Level Domain List เพื่อบล็อกสแปมที่ใช้โดเมนของประเทศเหล่านี้ แล้วคลิ้กเลือกเช็กบ็อกซ์หน้า Top-Level Domain ของประเทศต่างๆ ที่ชอบส่งสแปมเมล์มาให้เพื่อนๆ ครับ
นอกจากนี้ เรายังสามารถบล็อกสแปมโดยพิจารณาจาก Encode ที่ใช้ได้อีกด้วย โดยคลิ้กปุ่ม Blocked Encodings List จะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามใจชอบครับ ซึ่งหลังจากเลือกบล็อกเสร็จแล้วก็คลิ้กปุ่ม OK เพียงแค่นี้ สแปมจากประเทศที่เพื่อนๆ คลิ้กเลือกไว้จะไม่สามารถหลุดพ้นผ่านเข้ามาใน Inbox ได้อย่างแน่นอน

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วิธีการสร้าง Shortcut User's file ใน windows7

ผมจะมาบอกวิธีการ Add User's File folder ของเรามาไว้ที่ Desktop กันดีกว่าเพื่อง่ายต่อการใช้งาน
โดยในโฟล์เดอร์ User 's File จะมี folder ตามรูปในข้อ5
โดยวิธีการทำดังนี้
1. จากภาำพเราจะไม่เห็น Folder user's file ของเราที่เราได้ทำการ Logon เข้ามา

2. ให้เราคลิกขวาพื้นที่ว่างที่ Wallpaper แล้วเลือก Personalize

3. ให้กดเมนู Change Desktop icons

4. จากนั้นให้เราติ๊ก (√)หน้า User's Files > OK

5. เราก็จะได้ Folder user's file ของชื่อที่เราได้ทำการ login เข้าสู่ระบบ ซึ่งใน folder file ของเราก็จะมี folder ต่างๆมากมาย ตามที่เห็นดังรูป ซึ่งจะเก็บ folder อาทิเช่น รูปภาำพ,เพลง

วิธีการเิปิด-ปิด ฟังก์ชั่น Windows+L

หลายๆึคน คงรู้คีย์ลัดของวินโดกันพอสมควร แต่วันนี้ผมจะมาเสนอบทความเกี่ยวกับ วิธีการเิปิด-ปิด Function คีย์ลัด Windows[logo] + L กันครับ
วิธีทำ
1. Start > run > regedit > HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System

2. จากนั้นให้เราคลิกขวา และสร้าง DWORD 32 bit value ชื่อว่า DisableLockWorkstation จากนั้นใส่ค่าตามนี้
ตามที่เราต้องการ
ค่า1 - เป็นการปิด Lock Workstation
ค่า2 - เป็นการเปิด Lock Workstation
โดยใช้ได้กับ Windows XP , Vista ,Windows 7
แต่ทางที่ดีควรเปิด Lock workstation ไว้ดีกว่าครับ เผื่อมีคนมาแอบใช้คอมพิวเตอร์ของเรา
มาปิด Autoplay เพื่อป้องกันไวรัสกันดีกว่า

ผมว่าหลายคนในที่นี้คงเจอไวรัสเล่นงานกันพอสมควร แล้วบางคนสงสัยว่ามันจะติดมาได้ยังไงในเมื่อเราก็ดูแลคอมพิวเตอร์เราอย่างดี ทั้งupdate antivirus แต่วันนี้ผมจะบอกอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราติดไวรัสอีกก็คือการติดมากับพวก Flash drive นั่นเอง งั้นผมจะมาบอกวิํธีป้องกันไม่ให้ติดไวรัสได้อีกทางก็คือการ การปิด Autoplay หรืออาจจะใช้ร่วมกับโปรแกรม CPE17 Autorun Killer ด้วยก็ได้ครับ
1. Start > Run
จากนั้นให้พิมม์ " gpedit.msc "

2. ต่อจากนั้นให้เราเลือก
Computer Configuration > Administrative Template > System จากนั้นให้เราเลือก
Turn off auto play แล้วทำการ Double Click

3. ให้เราทำการเลือก Turn off Autoplay : Enable
Turn off Autoplay on : All drives และกด Ok

เท่านี้ก็เป็นการ ปิด Autoplay แล้วครับ เพื่อป้องกันไม่ให้ติดไวรัสได้อีกทาง
วิธีการปิด IE8 บน windows7

วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการปิดการใช้งาน IE8 บนWindows 7 ซึ่งทำได้ง่ายมากเลยนะครับ เพียงแค่ 2-3 ขั้นตอนก็เสร็จแล้ว งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. Start > จากนั้นให้พิมพ์ Windows feature ลงไปในช่อง Search จากนั้นก็จะปรากฎ Turn Windows feature on or off จากนั้นให้เราทำการคลิก

2. ขั้นตอนนี้ เราก็แค่เอาเครื่องหมาย (√) ออกจาก Internet Explorer8 และทำการกด Ok แต่ต่อจากนั้นก็ให้ Restart Computer 1ครั้ง ก็เป็นเสร็จสิ้นวิธีการปิด IE8 บน Windows7 แล้วครับ

วิธีการเปลี่ยน Product Key Windows7

วันนี้ผมจะมาบอกวิธีการเปลี่ยน Product key ของ windows7 กันนะครับ โดยจะมีวิธีการเปลี่ยนได้ 2 แบบ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนเลยนะครับ
วิธีที่1
1. ให้เลือกที่ My Computer คลิกขวาเลือก Properties
จากนั้นให้เลือก Change Product Key

2. จากนั้นให้เรากรอก Product key ตัวใหม่ของเราลงไปในช่องว่าง จากนั้นกด Next ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเปลี่ยน Product key ใหม่แล้วครับ

วิธีที่2
1.ให้ไปที่ Start > Run > พิมพ์ " cmd " แล้ว Enter
จา่กนั้นให้พิมพ์ " slmgr.vbs -ipk Product key " และ Enter
จากนั้นพิมพ์ " slmgr.vbs -ato " และ Enter

ก็เป็นอันเสร็จสิ้นวิธีการเปลี่ยน Product key windows7 กันแล้ว แต่สำหรับคนที่ใช้ License windows7 แบบ OEM ไม่สามารถเปลี่ยน Key ได้นะครับ
ที่ำสำคัญ เปลี่ยน product key ให้ตรงกับ Edition ของ windows7 ของเราด้วยนะครับ
ปรับลูกเล่นของ Taskbar windows7

วันนี้ผมจะสอนวิธีเพิ่มลูกเล่น Icon taskbar ให้ดูสวยงามตรงTaskbar กันใน windows7
1. ให้ทำการคลิกขวาที่ Taskbar จากนั้นให้เลือก Properties

2. จากนั้นให้เลือก Taskbar buttons: Combine when taskbar is full และทำการกด Ok

3. จากนั้นลองเปิด โปรแกรม,Icon ต่างๆ ดู สังเกตุได้ว่า Icon ที่เราเปิด ณ ขณะนั้นจะแสดง Icon เป็นแถบยาว

แอบดูนามสกุลไฟล์ของ windows7,vista,xp

โดยปกติ Windows ทุก version ไม่ว่าจะเป็น windows xp , vista แม้กระทั่ง windows7 ก็ตาม นามสกุลของไฟล์แต่ละไฟล์ใน windows จะไม่โชว์ให้เราเห็น แต่วันนี้ผมจะมาเสนอวิธีการปรับให้เห็นนามสกุลไฟล์ของแต่ละไฟล์กันใน windows7
1. ให้ทำการเปิด My Computer ขึ้นมา จากนั้นเราจะเห็นว่าไฟล์ในตัวอย่าง ชื่อไฟล์จะเป็นแค่ wrar392 นะครับ

2. จากนั้นให้เรากดที่ Organize > Folder and search options

3. ให้เราเลือก Tab view จากนั้นให้เอาเครื่องหมาย (√) ออกจาก Hide extensions fow know file types และกด OK

4. จากนั้นเราก็จะรู้นามสกุลของไฟล์แล้วครับ นามสกุล .exe นั้นเอง(wrar392.exe)

บางครั้งเราโหลดไฟล์บางประเภทมาแล้วและไม่สามารถเปิดได้ เราสามารถใช้วิธีนี้เพื่อตรวจสอบนามสกุลของไฟล์ แล้วลองไปค้นหาใน Google ดูอาจจะช่วยคุณได้มากเลยทีเดียวเลยครับ
ปรับ Icon Taskbar ให้อยู่กลางหน้าจอกัน

วันนี้เรามาทำการปรับ Icon Taskbar ให้อยู่ตรงกลางหน้าจอกันดีกว่า โดยปกติ Icon Taskbar ของเราจะอยู่ชิดมุมซ้าย ใช่ไหม
แต่ผมจะบอกวิธีการปรับ Icon ให้อยู่ตรงกลางกัน windows7 ของเราจะได้ไม่เหมือนใคร
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. เราจะเห็นได้ว่า Icon Taskbar จะอยู่ด้านซ้ายของหน้าต่าง windows

2. ให้เราทำการสร้าง Folder CTI ไว้ใน Documents

3. จากนั้นให้เรา คลิกขวาที่ Taskbar จากนั้นให้เครื่องหมาย (√ ) ออกจาก Lock the taskbar

4. ให้เราทำการคลิกขวาที่ Taskbar อีกครั้งแล้วเลือก Toolbars > New toolbar

5. เราก็จะเห็น CTI อยู่ตรง Taskbar

6. และให้ทำการคลิกขวาที่ Taskbar ตรงใกล้ๆตัวอักษร CTI จากนั้นให้เอาเครื่องหมาย (√) ออกจาก Show title

7. จากนั้นให้เลื่อน :::: จากท้ายลูกศรไปยังด้านซ้าย

8. ฝั่งด้านซ้ายก็เช่นกัน ให้เลื่อน :::: ไปยังด้านขวา

9. เมื่อทำการเลื่อน Icon มาอยู่ตรงกลางแล้ว ก็ให้คลิกขวาที่ Taskbar จากนั้นให้ติ๊ก() หน้า Lock the taskbar คุณก็จะได้
Icon Taskbar ที่อยู่ตรงกลางหน้าจอแล้วครับ

แก้ไขให้ windows7 Shutdown ได้ไวกันดีกว่า

วันนี้ผมจะบอกวิธีการตั้งค่า Regedit ของ windows7 เพื่อให้เวลาเราทำการปิดคอมพิวเตอร์บน OS windows7 จะได้ปิดได้ไวขึ้น จะได้ไม่ต้องมารอกันเลย
1. Start > พิมพ์ regedit ลงไปในช่อง search

2. จะมีหน้าต่าง Pop-up ขึ้นมาให้เรากด Yes

3. จากนั้นให้เราเลือก HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control และทำการคลิกขวาที่ File WaitToKillServiceTimeout แล้วเลือก Modify จากนั้นเราจะเห็นค่า
Value data : 12000(12 seconds) ซึ่งเป็นค่า Default ของ windows7
จากนั้นให้เราทำการปรับค่าเป็น Value data = 2000 (2 seconds) หรือ ค่าที่มากกว่าตามต้องการ จากนั้นก็กด Ok และทำการ Restart computer คุณก็จะพบกับความแตกต่างในการ Shutdown computer ในครั้งต่อไป

ลง Windows Live Essentials บน windows7

หลายคนในที่นี้คงลง windows 7 กัน ผมจะมาแนะนำวิธีการลง Windows Live Essentials บน windows7 กัน ซึ่งถ้าเราใช้ windows7 อยู่แล้ว จะง่ายมากต่อการ download ตัว window live มาใช้งานมากเลยครับ
1. Start > Getting Started > Get Windows Live Essentials

2. ให้เลือกภาษา Choose : English และกด Download

3. จากนั้นให้เราเลือกลง Service ตัวที่เราต้องการ
แนะนำให้ลงแค่ Messenger(MSN) เพราะลงตัวอื่นก็ไม่ได้ใช้แถมเปลืองพื้นที่ของ Harddisk ด้วย
- ตัว Service ไหนที่ไม่ต้องการลงก็เอาเครื่องหมาย (√) ออก

4. ขั้นตอนนี้รอเวลาในการ Download และติดตั้งตัวโปรแกรม

5. จากนั้นเราก็จะได้ Windows live mail มาเพื่อไว้คุยกับเพื่อนๆ แฟน และกิ๊ก แล้วครับ

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)